Blogs

การใช้โทรศัพท์เป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไมเกรนได้จริง แต่สาเหตุในการเป็นไมเกรนนั้นมาจากปัจจัยอื่นๆ ได้หลายปัจจัย ซึ่งอาจมาจากตัวโทรศัพท์เองที่ปล่อยแสงจากหน้าจอมากเกินไปหรือเกิดจากการใช้สายตาเพ่งหน้าจอโทรศัพท์จากตัวเราเองมากเกินไปด้วย H8 Clinic คลินิกรักษาไมเกรนเฉพาะทาง ขอพาคุณมาดูสาเหตุหลายข้อๆ ของการเกิดไมเกรนจากการเล่นโทรศัพท์กันค่ะ

แสงจากหน้าจอ การจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างเป็นเวลานานๆ อาจทำให้สายตาอ่อนล้า และกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้

การรู้สึกชามือและชาเท้าขณะทำงานอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและอาจต้องพิจารณาว่าสาเหตุเบื้องต้นเป็นอย่างไร เพื่อช่วยลดหรือป้องกันอาการนี้ นี่คือข้อแนะนำที่อาจมีประโยชน์ เมื่อคุณเกิดอาการชามือ ชาเท้า ในที่ทำงานได้ค่ะ

นั่งพักเฉยๆ หยุดทำงานสักพัก การให้ตัวเองได้พักผ่อนสักครู่อาจช่วยลดอาการชามือและชาเท้าได้เหมือนกัน เพราะการทำงานเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อและประสาทของมือและเท้าทำงานหนักจนเริ่มหมดความสามารถในการทำงาน รับพักสักครู่และทำการยืดกล้ามเนื้อและนวดมือและเท้าของคุณเพื่อช่วยคืนความผ่อนคลายค่ะ

อาการออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่ต้องนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์หรือทำงานนานๆ ในท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง อาการนี้สามารถทำให้เกิดความไม่สบายและเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ได้ ดังนั้นการรักษาและป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรมเป็นสิ่งสำคัญดังนี้ค่ะ

การปรับท่านั่ง ปรับท่านั่งให้ถูกต้องและสะดวกสบาย โดยให้เท้าวางแนวนอนบนพื้น ข้อเข่าต้องอยู่ในระดับเดียวกับสะโพก และรองรับหลังให้ได้ดี

การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกต้อง เลือกเก้าอี้ที่มีรองเท้าและพนักพิงหลังที่รองรับรูปร่างของร่างกายให้ดี

ปวดหลังเป็นอาการที่คนส่วนใหญ่พบเจอเป็นประจำ เป็นอาการที่เกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจมีต้นเหตุมาจากกล้ามเนื้อที่อักเสบหรือแข็งตึง กระดูกหลังที่ผิดตำแหน่ง หรือปัญหาทางระบบประสาท แต่นอกจากนี้อาการปวดหลังจากมาจากปัจจัยอื่นๆ ด้วย มาดูสาเหตุของอาการปวดหลังมีอาจนำมาสู่การปวดหลังแบบเรื้อรังได้ จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

การปวดหลังเรื้อรัง (chronic back pain) สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุต่อไปนี้

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ และอาการปวดหลัง เรียกได้สำหรับคนทำงานแล้วอาการเหล่านี้เหมือนเป็นเพื่อนคู่ใจที่เจอกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และอาการปวดหลัง นี้อาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่รู้หรือไม่ว่ามันคือภัยเงียบใกล้ตัวเรา

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ และอาการปวดหลัง ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งปัจจุบันไม่ได้พบแค่ในกลุ่มคนทำงาน เพียงอย่างเดียว แต่มีการพบในกลุ่มที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ อาทิ กลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ของวัยรุ่นที่ มักใช่คอมพิวเตอร์ นั่งเล่นเกมหรือดูหนังติดต่อกันเป็นเวลานานๆ รวมไปถึงการใช้โทรศัพท์ทำให้ต้องนั่งก้มหน้าเป็นเวลานานๆ

อาการปวดหลัง จัดว่าเป็นหนึ่งในอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งได้สร้างความทรมานและลำบากในการใช้ชีวิตให้กับใครหลายๆ คน ซึ่งหลายคนมักจะหาทางออกด้วยการทานยาซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก แต่มีอยู่หนึ่งวิธีนั่นก็คือการยืดเหยียด ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีแต่ใครหลายคนก็มองข้ามไป

อาการปวดหลัง จัดว่าเป็นหนึ่งในอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งได้สร้างความทรมานและลำบากในการใช้ชีวิตให้กับใครหลายๆ คน ซึ่งหลายคนมักจะหาทางออกด้วยการทานยาซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก แต่มีอยู่หนึ่งวิธีนั่นก็คือการยืดเหยียด ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีแต่ใครหลายคนก็มองข้ามไป

บทความนี้ขอพาคุณผู้อ่านทุกท่าน มาดูกันว่าการทำกายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บตามกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการนวดอย่างไร เพราะในปัจจุบันยังมีผู้อ่านอีกหลายท่าน ที่ยังมีความเข้าใจผิดว่า การทำกายภาพบำบัดกับการนวดเป็นสิ่งเดียวกัน H8 Clinic ขอพาคุณมาไขข้อสงสัยดังนี้ค่ะ

วัตถุประสงค์และวิธีการรักษา
กายภาพบำบัด: มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและข้อต่อ รวมถึงการเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยใช้วิธีการเช่น การออกกำลังกายเฉพาะส่วน การใช้เครื่องมือกายภาพบำบัด และการให้คำแนะนำในการปรับปรุงท่าทางและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน

คลินิกกายภาพบำบัดเป็นสถานที่ที่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยผู้ป่วยกลับสู่สุขภาพและสมรรถภาพที่ดีที่สุดหลังจากเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ การดูแลที่คลินิกกายภาพบำบัดมีหลายด้านที่สำคัญ Rehab Care Clinic ขอพาคุณมาดูขั้นตอนการรักษาของคลินิกกายภาพบำบัดเมื่อคุณเข้ารับบริการ มีรายละเอียดอย่างไรนั้น มาดูกันเลยค่ะ

การประเมินเบื้องต้น การประเมินสุขภาพร่างกายและสมรรถภาพของผู้ป่วย เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยในการกายภาพบำบัดค่ะ

การทำกายภาพบำบัดควรจะเหมาะสมกับความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว การทำกายภาพบำบัดควรทำให้เหมาะสมกับความสามารถร่างกายและสภาพสุขภาพปัจจุบันของบุคคล นอกจากนี้ยังควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สุขภาพทั่วไป และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับความถี่ในการทำกายภาพบำบัดที่สามารถเป็นประโยชน์ได้ ดังนี้

ความถี่ การทำกายภาพบำบัดควรทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัดหรือบุคลากรทางการแพทย์